แซ่ตวัด ซัดตัวหวั่น สั่นตัวไหว
ฟัดลอยปาด ฟาดหลังปุบ ฟุบลงไป
ป้ายหยดเลือด เป็นหยาดไหล ไปยังลาน
Chulalongkorn University
บทความโดย มารีอา
มัทธิว 5 : 39
"ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน
ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย"
เคยไหม...ที่บางครั้ง เราถูกท้าทายให้ระเบิดอารมณ์กับอะไรสักอย่าง
เป็นต้นว่า อยู่ดี ๆ ก็ถูกใครก็ไม่รู้ว่ากล่าวเสีย ๆ หาย กับเรื่องที่เราไม่ได้ทำผิด
หรือได้รับการดูถูกอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่ฝ่ายเรานั้นทำในสิ่งที่ดีและสูงส่งกว่า
หรือถูกหาเรื่องเพียงเพราะว่าหมั่นไส้
ตามสัญชาตญาณมนุษย์ ซึ่งไม่ต่างไปจากสัตว์เท่าไหร่
ก็มักจะตอบโต้เพื่อปกป้องและป้องกันตัวเองจาก "ศัตรู" เป็นธรรมดา
วิธีการดังกล่าว เป็นระบบที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
และมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยบาบิโลเนีย
ในประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบี
หรือที่รู้จักกันง่าย ๆ ว่า "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน"
ว่าแต่คุณรู้ไหม...วิธีการดังกล่าว ไม่ได้ช่วยให้ "ปัญหา" ลดลงไปเลย
เมื่อเขาทำร้ายคุณ คุณก็ทำร้ายเขาคืน
เขาก็จะย้อนกลับมาทำร้ายคุณกลับอีกครั้ง
วนเวียนเช่นนี้ไม่จบไม่สิ้น อย่างที่ทางพุทธใช้คำว่า "กงกำกงเกวียน" นั่นเอง
แล้วทำไม...เราถึงไม่ทำให้ปัญหามัน "จบสิ้นอย่างถอนรากถอนโคน" ไปเสียเลยล่ะ?
เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงตรัสสอนว่า
"ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย"
อุปมานี้ ความว่า ให้เรารู้จักอดทนอดกลั้น ไม่ทำตามอารมณ์
แม้เขาจะตบหน้าเราข้างหนึ่ง ก็ให้เขาตบอีกข้างหนึ่งด้วยจนเขาสาแก่ใจ
(ดูสิว่า จะมีมโนธรรมแค่ไหน ถ้าตบอีกข้างก็...นะ สุดจะบรรยาย)
เพราะเมื่อเขาได้กระทำเราจนพอใจแล้ว ก็จะเลิกลาไปเอง ไม่หวนกลับมาทำร้ายอีก
(กลับมาอีกรอบก็จิตใจชั่วเกินไปแล้ว)
ฟังดู...ช่างฝืนธรรมชาติเสียจริง
แต่ถ้าหากเราทำได้ นั่นหมายถึงเราได้กระทำสิ่งที่ดีงาม 3 ประการเลยนะ
ซึ่งได้แก่ ความอดทนอดกลั้น การให้อภัย และการมีเมตตาไม่ทำร้ายผู้อื่น(กลับ)
และในทางตรงกันข้าม หากเรายังคงใช้กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต่อไป
เราก็จะกลายเป็นคนในยุคเก่า ๆ ที่ความเจริญทางจิตใจยังไม่มากพอ
กลายเป็นคนที่ชอบใช้กำลัง ไม่มีความอดทน ไม่รู้จักการให้อภัย และไร้เมตตา
คิดดูสิว่า...ใครล่ะ อยากจะคบเรา
บทความโดย มารีอา
"ความรักนั้นก็อดทน..." 1 โครินธ์ 13 : 4
พระคัมภีร์ข้อนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่โปรดปรานของใครต่อใคร
แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะรู้ว่า ประโยคแรกของพระคัมภีร์ข้อนี้ มีความหมายอย่างไรกันแน่
"ความรักนั้นก็อดทน" ...ฟังแล้วดูแย่และยากลำบากเหลือเกิน
มีคนเคยบอกฉันว่า "ถ้ารักแล้วต้องอดทน ก็อย่ารักเลยดีกว่า"
เขาอธิบายว่า "คนที่รักกัน ไม่จำเป็นต้องอดทนซึ่งกันและกัน เพราะมันดูเหมือนเป็นการฝืน
คนที่รักกันควรที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสบาย ๆ ไม่ถือตัว ไม่มีทิฐิ ไม่ต้องอดทน
เมื่อมีเหตุขัดข้องใจ ก็ให้พูดกันตรง ๆ ไม่ต้องอดทน เพราะความอดทนจะทำให้เราอึดอัดใจ
และสุดท้าย มันก็จะทำลายความรักของเรา"
แต่ฉันเชื่อว่า...คำว่า "อดทน" ในพระคัมภีร์ข้อนี้ ไม่ได้หมายความอย่างข้างบนแน่นอน
ถึงแม้ว่า...ฉันจะไม่เคยเรียนคำสอนในระบบเลยก็ตาม...
สำหรับฉัน คนที่รักกันต้องมีความอดทนอย่างมากมาย
เนื่องจากคนเราแตกต่างกัน และน้อยมากที่คนเราจะชอบความเป็นตัวตนของคนรักไปทุกอย่าง
มันก็ต้องมีบ้าง อย่างน้อยหนึ่งประการที่เรารู้สึกไม่ชอบ...เพราะคนเราแตกต่าง
คนที่เป็นคู่รัก ความไม่ชอบในซึ่งกันและกันนั้นคงมีปริมาณน้อยกว่าแน่นอน
แต่เราก็ต้องยอมรับว่า บางทีเราก็ไม่สามารถแก้ไขคนอื่นให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้
แม้จะด้วยอานุภาพของความรักก็ตาม...ด้วยเหตุนี้ รักจึงต้อง "อดทน"
ความอดทนจะทำให้เราไม่ตำหนิติเตียนคนรักให้เสียใจ
เพราะบางครั้ง สิ่งที่เราติเตียนนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แก้ไขไม่ได้ แต่เราเพียง "ไม่ชอบ"
ความอดทนจะทำให้เราต่างก็รักษาตัวตนอันแท้จริงเอาไว้
ให้เรารักคน ๆ นั้น ในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่เป็นอย่างที่เราอยากจะให้เป็น
ไม่ต้องเสแสร้ง ทำมารยาใด ๆ ที่จะทำให้ความบริสุทธิ์ของความรักเสื่อมเสียไป
รักจึงอดทน...อดทนต่อความไม่ชอบอันน้อยนิด และอดทนอย่างมีเหตุผล
เพื่อให้ความรักอันยิ่งใหญ่...ได้คงอยู่และสวยงามต่อไป
เฝ้าแต่มองว่าวัดสวยหรือไม่อย่างไร มองว่าดอกไม้เป็นอย่างไร
ติเตียนคนที่มาวัดสาย ๆ ทำให้รบกวนสมาธิผู้อื่นอย่างไร
หรือเคยไหมเวลาที่เห็นคนอื่นทำผิดสักอย่าง
ก็คิดเอาในใจ หรือพูดออกไปว่า “ทำแบบนี้ ไม่ถูกนะ”
ลองคิดทบทวนดูสิ ทุกคนเคยทำอะไรทำนองนี้กันใช่ไหม
ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่แปลกหรอกที่จะเคย
เพราะการเปรียบเทียบและการตัดสินมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์
มนุษย์เรามักชอบเปรียบเทียบสิ่งใกล้ตัวกับมาตรฐานของตนเองอยู่เสมอ
ว่าแต่...เราเคยคิดหรือไม่ว่า มาตรฐาน
หรือ การตัดสินของเรานั้น เที่ยงตรงจริง ๆ น่ะหรือ
แน่ใจหรือว่า ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเอง แน่ใจหรือว่า เราตัดสินถูกต้องแล้ว
และแน่ใจหรือเปล่าว่า นั่นเป็น...หน้าที่ของเรา
ลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง ยังจำได้ไหม
ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าถูกพวกธรรมาจารย์และฟาริสี
บังคับให้ตัดสินหญิงที่ทำผิดประเวณีคนหนึ่ง
จำได้ไหมว่าพระองค์ทำอย่างไร
วันนั้นพระเยซูเจ้าทรงนิ่งเฉย ครั้นเมื่อพวกเขาถามย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ
พระองค์ก็ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”
สุดท้ายก็ไม่มีใครเอาหินทุ่มเธอคนนั้นเลย…
เพราะอะไรน่ะหรือ
เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคน แม้คน ๆ นั้นจะทำผิดบาปก็ตาม
พระองค์ไม่อยากตัดสินลงโทษคน ๆ หนึ่งเพื่อให้คนอื่น ๆ รู้สึกดี
เพราะพระองค์รู้ว่าถ้าหากเรามนุษย์ผู้มีบาปและไม่เที่ยงตรง
เมื่อตัดสินมนุษย์คนอื่นแล้ว
ก็ย่อมรู้สึกยินดีกับตนเอง รักและเข้าข้างตนเองมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันก็ชิงชังผู้ที่ทำตรงข้ามกับตนมากขึ้นไปด้วย
แย่ยิ่งกว่านั้นเมื่อสาแก่ใจแล้วก็คงจะทำซ้ำ ๆ อีกเรื่อยไป
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนเราทั้งหลายว่าซ้ำ ๆ ว่า
“อย่าตัดสินผู้อื่น” และ “จงรักซึ่งกันและกัน”
และพระองค์ก็ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีเสมอมา
นั่นคือ การยอมถูกตรึงกางเขนเพราะความรักที่พระองค์มีต่อมนุษย์
และปรารถนาให้ความรักของพระองค์
ถ่ายทอดต่อไประหว่างมนุษย์ทั้งหลาย
แล้วพวกเราล่ะ
พวกเราที่พูดว่ารักพระองค์ เคยไหมที่จะหยุดเปรียบเทียบและตัดสินผู้อื่น
เคยไหมที่จะรักและเสียสละตนเองให้ผู้อื่นได้
เคยไหมที่จะทำตามพระผู้ทรงเป็นตัวอย่างที่แสนดีของเรา?